Categories
Uncategorized

5 เหตุผล ที่ควรแยกมือถือทำงาน-ใช้ส่วนตัว

5 เหตุผล ที่ควรแยกมือถือทำงาน-ใช้ส่วนตัว

สมาร์ทโฟน เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ที่คนส่วนใหญ่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยฟังก์ชันที่ทำได้มากกว่าการโทร เป็นได้ทั้งเครื่องมือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียล ติดตามข่าวสาร ใช้ดูหนัง ฟังเพลง เป็นกล้องถ่ายรูปหรือบันทึกวีดิโอ สมุดบันทึกความทรงจำ ไปจนถึงการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์ ซึ่งในปัจจุบัน มือถือได้กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในทุกแง่มุมของชีวิตทั้งในแง่ของการทำงาน และชีวิตส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม การใช้มือถือเครื่องเดียวในการทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัว อาจส่งผลกระทบต่อการจัดการงานต่าง ๆ และคุณภาพชีวิต แชร์ข้อดีในการแยกมือถือทำงาน และใช้ส่วนตัวออกจากกัน เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น

1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การรวมเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวบนมือถือเครื่องเดียวกัน อาจทำให้เราสับสนระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัว เมื่อมีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวในเวลางาน อาจทำให้เสียสมาธิจากการจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ การแยกมือถือสำหรับเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวจะสามารถช่วยเรากำหนดเวลาในการทำงานแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจนโดยไม่มีสิ่งก่อกวนหรือเบี่ยงเบนความสนใจ การจัดการงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ช่วยเพิ่มความสมดุลในชีวิต

การแยกมือถือสำหรับเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว ช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลระหว่างงาน และชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance) ในช่วงเวลาระหว่างวันทำงาน และวันหยุด เมื่อไม่มีเรื่องงานเข้ามายุ่งในเวลาว่าง ทำให้เรามีเวลาเพียงพอสำหรับการพักผ่อน หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ และนั่นจะส่งผลให้ร่างกาย และจิตใจของเราได้พักอย่างเต็มที่ พร้อมที่จะทำงานต่อไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

3. ช่วยลดความเครียดและความกังวล

เมื่อไม่ต้องติดตามเรื่องงานตลอดเวลาในมือถือเครื่องเดียวกับเรื่องส่วนตัว จะช่วยลดความเครียด และความกังวลที่มาจากความกดดันของงานตลอดเวลาแม้กระทั่งในวันหยุด ซึ่งหากปล่อยความเครียดและความกังวลเหล่านี้ให้อยู่กับเราไปนาน ๆ อาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคแพนิก (Panic Disorder) โรควิตกกังวล (Anxiety disorders) โรคซึมเศร้า (Depression) หรืออาการเจ็บปวดเรื้อรังทางร่างกายต่าง ๆ

4. ช่วยรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

การแยกมือถือเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวช่วยให้เราสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ในทุก ๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคารพเวลาส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน ไม่ก้าวก่ายเวลาพักผ่อนของผู้อื่นในวันหยุด และในเวลาที่เราอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน เราสามารถให้เวลาและความสนใจกับคนรอบข้างเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีเรื่องงานเข้ามาแทรกแซง

5. รักษาความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคล

ในปัจจุบันที่กฎหมาย PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ถูกบังคับใช้อย่างเข้มข้นมากขึ้น การรักษาข้อมูลส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม การแยกมือถือเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ป้องกันเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่ต้องการเปิดเผยไม่ให้หลุดออกไปปะปนในที่ทำงาน ในขณะเดียวกัน การแยกมือถือยังช่วยปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรจากการรั่วไหลสู่ภายนอก ที่แม้ว่าเราไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ก็อาจนำไปสู่การถูกฟ้องร้องได้

การแยกมือถือเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องที่มีผลกระทบในแง่บวก ช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบระเบียบ โฟกัสในเรื่องที่อยู่ตรงหน้า และมีสมดุลระหว่างงาน และชีวิตส่วนตัว ซึ่งนั่นจะส่งผลให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

Cr. https://www.ofm.co.th/blog/5-reasons-to-separate-mobile-phone/

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

มือถือใหม่เดือนมีนาคม 2567 รุ่นไหนน่าสนใจ เช็กเลย !

มือถือใหม่เดือนมีนาคม 2567 รุ่นไหนน่าสนใจ เช็กเลย !

ชี้เป้าโทรศัพท์มือถือใหม่เดือนมีนาคม 2567 อัปเดตมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดยี่ห้อต่าง ๆ สามารถเช็กสเปกและราคาได้ที่นี่

  ได้เวลาอัปเดตกันอีกครั้งกับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ต้อนรับเดือนมีนาคม 2567 สำหรับผู้ที่กำลังมองหาหรือมีแผนจะซื้อมือถือใหม่ ในเดือนนี้จะมีรุ่นไหนเปิดตัวและน่าสนใจบ้าง วันนี้เราได้รวบรวมมาให้แล้ว ขอชวนเพื่อน ๆ ตามไปดูกันเลย

มือถือเปิดตัวใหม่เดือนมีนาคม 2567 มีรุ่นไหนบ้าง


1. ROG Phone 8 Series

ROG Phone 8 Series
ภาพจาก : asus.com

          มือถือเกมมิ่งจาก ASUS ที่มีแบ่งออกเป็นรุ่นพื้นฐานและรุ่น Pro โดยตัวท็อปอย่าง ROG Phone 8 Pro จะมีหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ 165Hz ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 3 รองรับ 5G และ Wi-Fi 7 แรม 16GB/24GB สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ความจุ 512GB/1TB ช่วยให้ลงเกมได้เยอะ กล้องหลัง 3 เลนส์ 50MP กล้องหน้า 32MP แบตเตอรี่ 5500mAh รองรับชาร์จเร็ว 65W มาพร้อมปุ่ม AirTrigger และระบบระบายความร้อน GameCool 8 รันระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย ROG UI 

          – ROG Phone 8 12GB/256GB ราคา 29,990 บาท
          – ROG Phone 8 Pro 16GB/512GB ราคา 37,990 บาท
          – ROG Phone 8 Pro Edition 24GB/1TB ราคา 47,990 บาท

2. HONOR Magic V2

HONOR Magic V2
ภาพจาก : hihonor.com

          โทรศัพท์รุ่นที่ 2 ของ HONOR ที่มาพร้อมหน้าจอ OLED ด้านในขนาด 7.92 นิ้ว ด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว โดยรองรับ 120Hz เพื่อการแสดงภาพที่ลื่นไหลทั้ง 2 หน้าจอ ใช้ชิปประมวลผลระดับเรือธงอย่าง Snapdragon 8 Gen 2 รองรับ 5G และ Wi-Fi 7 แรม 16GB ความจุ 512GB กล้องหลัง 3 เลนส์ 50MP กล้องหน้า 16MP แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว HONOR Super Charge 66W และรันระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย MagicOS 7.2 ตัวเครื่องมีความหนา 9.9 มม. เมื่อพับ และหนา 4.7 มม. เมื่อกางออก

          – ราคา 59,990 บาท

3. vivo V30 Series

vivo V30 Series
ภาพจาก : vivo.com

          มือถือ vivo ซีรีส์ V ที่เน้นกล้องสำหรับถ่าย Portrait โดยในรุ่นท็อปอย่าง V30 Pro จะมาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2800 x 1260 พิกเซล รองรับ 120Hz ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 8200 รองรับ 5G แรม 12GB ความจุ 512GB กล้องหลัง ZEISS 3 เลนส์ 50MP มีเลนส์ Telephoto 50MP ที่รองรับ Optical Zoom 2x พร้อมออร่าพอร์เทรต กล้องหน้า 50MP มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP54 แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 80W และรันระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย Funtouch OS 14

          – vivo V30 256GB ราคา 14,999 บาท
          – vivo V30 512GB ราคา 17,499 บาท
          – vivo V30 Pro 512GB ราคา 19,999 บาท

4. Infinix HOT 40 Pro

Infinix HOT 40 Pro
ภาพจาก : infinixmobility.com

          มือถือเล่นเกมราคาประหยัดจาก Infinix ที่มีหน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ 120Hz พร้อมแถบ Magic Ring ใช้ชิปประมวลผล Helio G99 แรม 8GB มีฟีเจอร์ผสานแรมเพิ่มสูงสุดรวมเป็น 16GB ความจุ 256GB กล้องหลัง AI 3 เลนส์ 108MP กล้องหน้า 32MP สามารถถ่ายภาพและเซลฟี่ได้ละเอียดคมชัด แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W และรันระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย XOS 13.5

          – ราคา 5,799 บาท

5. Samsung Galaxy S24 Series

Samsung Galaxy S24 Series
ภาพจาก : samsung.com

          มือถือเรือธงปี 2024 จาก Samsung ที่มีการอัปเกรดสเปกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม มาพร้อม Galaxy AI ในตัว ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่จะช่วยยกระดับการใช้มือถือในชีวิตประจำวันไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแปลภาษา สรุปงาน หาข้อมูล หรือการช่วยถ่ายและแต่งรูปให้สวย โดยไม่จำเป็นต้องโหลดแอปฯ มาติดตั้งเพิ่มเติม โดยรุ่นท็อปสุดอย่าง Galaxy S24 Ultra จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว QHD+ 120Hz ใช้ชิปประมวลผลตัวแรงล่าสุดอย่าง Snapdragon 8 Gen 3 แรม 12GB ความจุเลือกได้สูงสุด 1TB กล้องหลัง 4 เลนส์ มีความละเอียดสูงถึง 200MP OIS พร้อมเลนส์ Periscope ที่รองรับ Optical Zoom 5x กล้องหน้า 12MP แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W และรันระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย One UI 6.1

          – Galaxy S24 8GB/256GB ราคา 33,900 บาท
          – Galaxy S24 8GB/512GB ราคา 37,900 บาท
          – Galaxy S24+ 12GB/256GB ราคา 38,900 บาท
          – Galaxy S24+ 12GB/512GB ราคา 43,900 บาท
          – Galaxy S24 Ultra 12GB/256GB ราคา 46,900 บาท
          – Galaxy S24 Ultra 12GB/512GB ราคา 52,900 บาท
          – Galaxy S24 Ultra 12GB/1TB ราคา 62,900 บาท

6. vivo X100 Series

vivo X100 Series
ภาพจาก : vivo.com

          มือถือตระกูลเรือธงจาก vivo โดยรุ่นท็อปอย่าง X100 Pro จะมาพร้อมหน้าจอ AMOLED 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ 120Hz ใช้ชิปประมวลผลระดับเรือธง Dimensity 9300 รองรับ 5G และ Wi-Fi 7 แรม 16GB ความจุ 512GB กล้องหลัง Zeiss 50MP OIS พร้อมเลนส์ Super Wide-Angle 50MP และ APO Floating Telephoto 50MP กล้องหน้า 32MP แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 120W FlashCharge กันน้ำ กันฝุ่น IP68 และรันระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย Funtouch OS 14

          – vivo X100 ราคา 26,999 บาท
          – vivo X100 Pro ราคา 37,999 บาท

7. realme C67

realme C67
ภาพจาก : realme.com

          มือถือ realme หน้าจอขนาด 6.72 นิ้ว รองรับ 90Hz ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 685 แรม 8GB พร้อมฟีเจอร์ Dynamic RAM อีก 8GB ความจุ 256GB กล้องหลังคู่ 108MP 3x In-sensor Zoom สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดสูงและซูมได้ 3 เท่า กล้องหน้า 8MP มีลำโพงสเตอริโอคู่ แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W SUPERVOOC และระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย realme UI

          – ราคา 6,499 บาท

8. OPPO Reno11 Series

OPPO Reno11 Series
ภาพจาก : oppo.com

          มือถือซีรีส์ระดับกลางในราคาหมื่นกว่า ๆ จาก OPPO ที่เน้นความสามารถในการถ่ายภาพบุคคล โดยรุ่นท็อปอย่าง Reno11 Pro จะมีหน้าจอโค้ง OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ 120Hz ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 8200 รองรับ 5G แรม 12GB ความจุ 512GB กล้องหลัง 3 เลนส์ 50MP กันสั่น OIS พร้อมเลนส์ Telephoto 32MP สามารถถ่ายพอร์เทรตแบบซูมได้ กล้องหน้า 32MP แบตเตอรี่ 4600mAh รองรับชาร์จเร็ว SUPERVOOC 80W และรันระบบปฏิบัติการ Android ครอบทับด้วย ColorOS 14

          – Reno11 F ราคา 11,990 บาท
          – Reno11 ราคา 14,990 บาท
          – Reno11 Pro ราคา 19,990 บาท

9. Redmi Note 13 Series

Redmi Note 13 Series
ภาพจาก : mi.com

          มือถือตัวท็อปของตระกูล Redmi จาก Xiaomi ที่รุ่นท็อปอย่าง Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีสเปกประกอบไปด้วย หน้าจอ CrystalRes AMOLED ขอบโค้ง 1.5K ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2712×1220 พิกเซล 120Hz และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 7200-Ultra รองรับ 5G และ Wi-Fi 6 แรมสูงสุด 12GB ความจุสูงสุด 512GB กล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียดสูงถึง 200MP พร้อมกันสั่น OIS ช่วยให้ถ่ายภาพได้ละเอียดและนิ่ง กล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็วถึง 120W มีคุณสมบัติกันน้ำ กันฝุ่น IP68 และรันระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14

          – Redmi Note 13 8GB/256GB ราคา 6,999 บาท
          – Redmi Note 13 5G 8GB/256GB ราคา 7,999 บาท
          – Redmi Note 13 5G 12GB/512GB ราคา 9,999 บาท
          – Redmi Note 13 Pro+ 5G 8GB/256GB ราคา 13,990 บาท
          – Redmi Note 13 Pro+ 5G 12GB/512GB ราคา 15,990 บาท

10. POCO X6 Series

POCO X6 Series
ภาพจาก : mi.com

          มือถือระดับกลางจาก POCO ที่มีสเปกเหมาะสำหรับเล่นเกม โดยในรุ่น X6 Pro จะมาพร้อมหน้าจอ CrystalRes 120Hz FIow AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ชิปประมวลผล Dimensity 8300-Ultra รองรับ 5G และ Wi-Fi 6 แรม 12GB สามารถใช้เล่นเกมได้ลื่นไหล ความจุ 512GB ลงแอปฯ ลงเกมได้เยอะ กล้องหลัง 3 เลนส์ 64MP กันสั่น OIS กล้องหน้า 16MP แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 67W มีคุณสมบัติกันน้ำ กันฝุ่น IP54 และรันระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย HyperOS

          – POCO X6 256GB ราคา 9,999 บาท
          – POCO X6 512GB ราคา 10,990 บาท
          – POCO X6 Pro 512GB ราคา 12,490 บาท

วิธีเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ

          ในการจะซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่สักเครื่องนั้น นอกจากจะเลือกจากความชอบส่วนตัวแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่ผู้ซื้อควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์ของการนำมาใช้งาน สเปกและความแรงของมือถือ ราคาพอดีกับงบหรือไม่ รวมทั้งช่องทางในการสั่งซื้อ ไปจนถึงวิธีการตรวจเช็กตัวเครื่องเบื้องต้น

          ทั้งนี้ ราคามือถือแต่ละรุ่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากที่ระบุไว้ ขึ้นอยู่กับการปรับราคาของร้านที่จำหน่ายและโปรโมชั่นในช่วงเวลาต่าง ๆ เพราะฉะนั้นขอแนะนำให้เพื่อน ๆ เช็กราคากันอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะครับ

Cr. https://mobile.kapook.com/view7605.html

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

โทรศัพท์มือถือจำเป็นต่อชีวิตประจำวันอย่างไร

โทรศัพท์มือถือจำเป็นต่อชีวิตประจำวันอย่างไร

โทรศัพท์มือถือเปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ในยุคปัจจุบัน

คำกล่าวนี้ดูท่าจะจริงเสียแล้วในยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อโลกก้าวเข้ามาสู่ยุคแห่งการสื่อสารไร้สาย โทรศัพท์มือถือจึงมีบทบาทสำคัญสำหรับการติดต่อสื่อสาร และได้แทรกซึมไปกับการใช้ชีวิตประจำวันทุกช่วงเวลาไปอย่างไม่รู้ตัว จนทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของการใช้ชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งทำให้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้แล้ว เนื่องจากมีฟังก์ชันหลากหลายที่ตอบโจทย์ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปสวยๆ หรือจะโทรแบบวิดีโอคอล การส่งข้อความได้ฟรีๆผ่านแอปพลิเคชัน หรือจะเล่นเกมส์ ช้อปปิ้งออนไลน์ และที่สำคัญคือทำให้เราสามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว 5 สิ่งที่ทำให้โทรศัพท์มือถือเปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 มาฝาก ถ้าอยากรู้แล้ว ตามมาดูกันเลย

จุดเด่น

  • การติดต่อสื่อสารที่ง่ายดายยิ่งขึ้น
  • ค้นหาสังคมเดียวกันผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์คและสามารถติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา
  • ให้ความรู้และความเพลิดเพลิน

การติดต่อสื่อสารที่ง่ายดายยิ่งขึ้น

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการใช้โทรศัพท์มือถือคือ ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลหนึ่งกับอีกบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าจะผ่านการโทรออกหรือส่งข้อความ และยิ่งในปัจจุบันการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อสัญญาณก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้การสื่อสารทั้งในและต่างประเทศง่ายดายขึ้น ค่าใช้จ่ายในการติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือก็ถูกลงกว่าเดิม การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาเป็นแบ่งปันเรื่องราว และพูดคุยกับเพื่อน หรือทำความรู้จักกับคนภายนอกมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้มีผู้พัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ เพื่อให้สามารถส่งข้อความถึงกันได้ผ่านการใช้งานอินเทอร์เน็ต และฟรีอีกด้วย สำหรับแอปพลิเคชันการส่งข้อความและโทรออกผ่านอินเทอร์เน็ตแบบใช้งานฟรีมีดังนี้

– Messenger จะแชทคุยกับเพื่อนใน Facebook ทั้งที ต้องโหลด Messenger เอาไว้เพื่อไม่ให้พลาดทุกการสื่อสาร
– LINE แอปแชทสุดฮิตของเมืองไทย จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก Line จะเอาไว้เม้าท์กับเพื่อน คุยกับแฟน หรือคุยกันเป็นกลุ่มๆได้หลายๆคนตามใจชอบได้เลย

ค้นหาสังคมเดียวกันผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ค

โทรศัพท์มือถือนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับการติดต่อสื่อสาร โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันยังสามารถลูกค้าหากลุ่มคน หรือกลุ่มสังคมที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันในโลกออนไลน์ จนบางครั้งคุณอาจจะได้เพื่อนใหม่ ที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานก็ได้

– Facebook เป็นแอปโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งที่ใครๆก็มีใช้ ปัจจุบันแอปฯทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้นด้วย
– Linkedin เป็นแอปที่รวบรวมเครือข่ายสำหรับการทำงาน และกลุ่มความสนใจหลากหลายกลุ่ม

“โทรศัพท์จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากเพราะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรามากมาย”

ติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา

เพื่อให้ติดตามการเคลื่อนไหวหรือกระแสสังคมจากทั่วทุกมุมโลกอย่างทันเหตุการณ์ การใช้โทรศัพท์มือถือเพื่ออัปเดตข้อมูลข่าวสารจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก เพราะส่วนใหญ่เราจะได้รับข่าวสารบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก นอกจากโทรศัพท์จะช่วยให้คุณสามารถติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลาแล้ว ยังช่วยให้คุณสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของคนที่ชอบ อาทิ ดารา ศิลปิน หรือ เน็ตไอดอล แบบทันทีเลยทีเดียว สำหรับแอปพลิเคชันในการติดตามข่าวสารและติดตามความเคลื่อนไหวของศิลปินดารามีดังนี้

Instagram – ใครชอบดูรูปสวยๆห้ามพลาดแอปนี้เลย หรือใครชอบอัปโหลดรูปถ่ายสวยๆอวดชาวบ้านก็ทำได้ ปัจจุบัน Instagram มี Feature ใหม่ๆน่าเล่นมากมายมาให้ลอง
TikTok – เป็นแอปฯโซเชียลมีเดียที่มาแรงมากในยุคนี้ เพราะสามารถครีเอทวีดีโอตลกๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนๆในโซเชียลได้
Twitter – เหมาะสำหรับการติดตามข่าวสารแบบกระชับ รวดเร็ว ทั้งในและต่างประเทศ

แอปพลิเคชันข่าวสารต่างๆ เช่น แอปเรื่องเล่าเช้านี้ แอปช่องต่างๆ หรือถ้าเป็นข่าวภาษาอังกฤษก็จะเป็น Bangkok Post BBC CNN เป็นต้น

ไม่ว่าจะทำอะไร เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ให้ความรู้และความเพลิดเพลิน

คุณสามารถหาความรู้ ความบันเทิงได้หลากหลายจากเว็บเบราว์เซอร์หรือบนแอปพลิเคชัน ได้อย่างมากมาย ซึ่งมีแอปพลิเคชันแนะนำดังต่อไปนี้
– Google Chrome เว็บเบราว์เซอร์ของ Google ที่จะช่วยให้คุณท่องโลกกว้างเพียงแค่ปลายนิ้ว

– YouTube มีวิดีโอให้เลือกชมอย่างจุใจและมากมาย พร้อมให้คุณได้รับชมอยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว
– JOOX Music แอปฟังเพลงออนไลน์ยอดนิยมของเมืองไทย สามารถโหลดเพลงเอาไว้ฟังแบบออฟไลน์ได้ มีเพลย์ลิสต์เพลงใหม่ให้เลือกมากมาย
– Spotify เป็นแอปฟังเพลงบนมือถืออีกแอปหนึ่งที่แนะนำ เพราะคุณสามารถฟังเพลงด้วยไฟล์เสียงคุณภาพเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเพลงสากลเยอะมาก
– LINE TV แอปที่ทำให้เราดูรายการทีวีและซีรีส์ยอดฮิตต่างๆในเมืองไทย เช่นซีรีส์จากค่ายนาดาว เป็นต้น
– Netflix แอปดูภาพยนตร์และซีรีส์ชื่อดังระดับโลก เมื่อสมัครรายเดือนแล้วรับชมความบันเทิงในระดับคุณภาพ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ทำธุรกรรมการเงินสะดวกรวดเร็วและง่ายกว่าเดิม

การธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์นั้นสะดวกและง่ายกว่าเมื่อก่อนมากไม่ว่าจะเป็น การเช็คยอดเงิน โอนเงิน เติมเงินมือถือ จ่ายบิล จะชำระค่าบัตรเครดิต หรือจะดูรายการเดินบัญชีย้อนหลังก็สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงมีโทรศัพท์มือถือและสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แอปพลิเคชันสำหรับการทำธุรกรรมการเงินยอดนิยมมีดังนี้

SCB EASY – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารไทยพาณิชย์
K PLUS – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารกสิกรไทย

Krungthai NEXT – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารกรุงไทย
Bualuang mBanking – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารกรุงเทพ
TMB Touch – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี)

KMA-Krungsri Mobile App – เป็นแอปสำหรับเช็คยอดเงินในบัญชีธนาคาร รวมไปถึงโอนเงิน และถอนเงินไม่ใช้บัตรจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
PayPal – จัดการกับการใช้จ่าย การชำระเงิน และการรับชำระเงินทั้งหมดได้ทั่วโลก

Cr. https://tadoo.co/อินเทอร์เน็ตมือถือ/คู่มือ/โทรศัพท์มือถือจำเป็นต่อชีวิตประจำวันอย่างไร/#google_vignette

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

สมาร์ทโฟน ส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน

สมาร์ทโฟน ส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน

เจ้าคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า “สมาร์ทโฟน” สามารถเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์มากมายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่ผลการศึกษาล่าสุดกลับพบว่ามันส่งผลด้านลบต่อชีวิตประวันของเรา มากกว่าที่คิด

เรื่องโดย ยูธิจิต ภัตตาจาร์จี

สมาร์ทโฟน ทำให้พ่อกับผมนั้นรู้สึกเหมือนว่าอยู่ใกล้กันตลอดเวลา แม้ว่าในความจริงแล้วเราทั้งสองต่างอาศัยอยู่คนละฝากของประเทศ ซึ่งปกติแล้วพ่อเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกไปไหนสักเท่าไร คงจะเป็นเรื่องปกติของคนวัยนี้ด้วยแหละ พ่อผมอายุ 79 ปีแล้ว อาศัยอยู่ที่เมืองโกลกาตา ประเทศอินเดีย

เมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่ผมกำลังนั่งรถไฟจากประเทศเดนมาร์กเพื่อที่จะไปประเทศสวีเดน พ่อก็ได้วิดิโอคอลมาหาผมทางสไกป์ (Skype) และด้วยความที่สไกป์เป็นการโทรคุยกันแบบเห็นหน้า ผมเลยเอาโทรศัพท์แนบไปกับหน้าต่างเพื่อที่จะให้พ่อเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของประเทศสวีเดนแบบที่ผมเห็น ให้พ่อได้สัมผัสไปกับมันด้วย ผู้อ่านเชื่อหรือไม่ ความรู้สึกผมใน ณ ตอนนั้น มันสมจริงมากราวกับว่าพ่อได้มานั่งอยู่ข้างๆ ผมบนรถไฟ ทำให้ผมคิดว่าเทคโนโลยีสมัยนี้มันไปไกลมากแล้วจริงๆ

ผมควรจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่โทรศัพท์ของผมสามารถทำให้ผมได้พูดคุยและเห็นหน้ากับพ่อได้ แม้ว่าจะอยู่คนละฝากฝั่งของโลกก็ตาม แต่ก็โทรศัพท์เครื่องเดียวกันนี่แหละที่เข้ามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว พร้อมกับทำให้ผมมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง ผมยังจำได้ดีตอนที่ผมกลับไปเยี่ยมพ่อที่โกลกาตา ผมแทบจะไม่สามารถละสายตาออกจากโทรศัพท์ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งที่ตอนนั้นพ่อก็อยู่ข้างหน้าผมแท้ๆ แต่ผมไม่สนใจ ผมกลับอยากรู้ว่ามีใครมากดไลก์รูปที่ผมเพิ่งโพสต์ล่าสุดบนเฟซบุ๊กหรือเปล่า (สรุปคือมีคนมากดไลก์เพิ่ม แถมมีมาแสดงความคิดเห็นอีกต่างหาก) ก็เป็นเรื่องที่น่าตลกเหมือนกัน ที่เทคโนโลยีทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกัน รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กัน แต่ก็เทคโนโลยีตัวเดียวกันนี้ ที่ทำให้คนที่อยู่ใกล้กัน กลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกล

สมาร์ทโฟน

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งในตอนแรก จุดประสงค์หลักมีไว้โทรหรือส่งข้อความหากัน แต่ในปัจจุบัน ประโยชน์ของมันกลับมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเอาไว้นำทางเวลาออกทริปต่างจังหวัด เอาไว้เรียกแท็กซี่ เอาไว้ดูรีวิวเปรียบเทียบสินค้าและราคา เอาไว้ตามข่าว เอาไว้ดูหนัง เอาไว้ฟังเพลง เอาไว้เล่นเกม หรือแม้กระทั่งเอาไว้เก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเข้ามาของสมาร์ทโฟนนั้นสร้างประโยชน์มากมายให้กับสังคมปัจจุบัน อาทิเช่น ออนไลน์แบงกิ้ง ที่ทำให้การออกจากบ้านไปธนาคารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชันสำหรับการเช็กว่าวันนี้เราเดินไปกี่ก้าว หรือว่าเมื่อคืนเรานอนหลับอย่างมีคุณภาพหรือเปล่า อย่างไรก็ดี ประโยชน์จากเทคโนโลยีพวกนี้ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆ อย่าง สมาร์ทโฟนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันมากจนทำให้เรามีส่วนร่วมกับโลกภายนอกน้อยลง ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม้พ้นการใช้สมาร์ทโฟนเข้ามาช่วยในการนำทางจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง จากที่แต่ก่อนเรามักจะใช้การจำเส้นทาง การถามผู้ที่เคยไปมาแล้ว หรือถามคนในละแวกพื้นที่นั้น แต่ปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว และบางทีเราก็อาจจะใช้สมาร์ทโฟนนำทางเราทั้งๆ ที่เราเคยไปสถานที่แห่งนั้นหลายรอบแล้วก็ตาม

สมาร์ทโฟน
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Google Maps คือสามารถบ่งบอกได้ว่าเส้นทางไหนรถติด และควรเลี่ยงไปยังเส้นทางไหน

ไม่ว่าจะตามสนามบิน มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ แทบจะทุกที่ ท่าทางที่เรามักจะพบเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง คือการก้มหน้าพร้อมกับเพ่งสายตาจ้องมองไปที่โทรศัพท์อย่างจริงจัง บางครั้งหากคุณเจอใครสักคนในร้านกาแฟ นั่งจิบกาแฟพร้อมกับสายตาที่จ้องมองออกนอกหน้าต่าง ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวกลับเป็นว่า แบตเตอรี่โทรศัพท์ของเขาหมดหรือไม่ มากกว่าที่จะคิดว่าพวกเขากำลังมีความสุขกับการมองวิวจากนอกหน้าต่าง

สมาร์ทโฟน
การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดคอเรื้อรังได้
ขอขอบคุณภาพจาก TIM HL LAI

เอเดรียน วอร์ด นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทกซัส ในเมืองออสติน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ได้รวบรวมผู้ทดลองในการวิจัยครั้งนี้กว่า 800 คน พร้อมกับทิ้งโจทย์เชาว์ปัญญาไว้ให้หาคำตอบ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ให้แก้โจทย์คณิตศาสตร์พร้อมกับให้จำตำแหน่งของตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในคำที่ถูกจัดขึ้นมาอย่างมั่วๆ ข้อที่สองคือมีตัวเลือกภาพให้เลือกไปใส่ให้สอดคล้องกับภาพที่มีไว้ให้อยู่แล้ว ทั้งนี้กฏกติกาคือผู้เข้าร่วมบางคนไม่สามารถนำสมาร์ทโฟนเข้าไปในห้องสอบได้ ในขณะที่บางคนได้รับอนุญาตให้เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงได้ แต่ก็ยังมีบางคนที่ฝ่าฝืนกฏแล้วนำสมาร์ทโฟนวางไว้บนโต๊ะสอบ

ถึงแม้ว่าสมาร์ทโฟนจะไม่ได้มีผลอะไรต่อการทำโจทย์เชาว์ปัญญาครั้งนี้ เพราะถึงอย่างไรผู้เข้าร่วมก็ไม่สามารถนำมันออกมาหาคำตอบได้อยู่แล้ว กลับมีอิทธิผลต่อการทำแบบทดสอบครั้งนี้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้พกสมาร์ทโฟนติดตัวไว้ มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก ในขณะที่กลุ่มที่นำสมาร์ทโฟนเข้าไปกลับมีคะแนนอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ทำให้ได้ข้อสรุปว่าสมาร์ทโฟนนั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ (Cognitive Capacity) นั้นต่ำลง

คณะผู้วิจัยยังมีความกังวลอีกว่า การติดสมาร์ทโฟนมากเกินไปจะทำให้ทักษะความสามารถในการอ่านเขียนของเด็กรุ่นใหม่มีความถดถอยน้อยลง ซึ่งจะไปส่งผลกระทบต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ต่อไปในอนาคต โดยคณะผู้วิจัยก็ไม่ได้กังวลกันไปเองแต่อย่างไร แต่พวกเขาได้อ้างอิงจากผลการศึกษาของแอนน์ แมนเกน นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยสตาแวนเจอร์ ในประเทศนอร์เวย์ พวกเขาได้แบ่งนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ทั้งหมด 72 คนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มนั้นอ่านบทความทั้งหมด 2 ชิ้น แต่มีเงื่อนไขคือจะมีกลุ่มหนึ่งที่ได้อ่านผ่านกระดาษทั่วไป ในขณะที่อีกกลุ่มจะได้อ่านแบบเป็นไฟล์ PDF ผ่านทางหน้าจอแทน ข้อสรุปที่ได้คือ กลุ่มที่อ่านผ่านกระดาษมีทักษะการอ่านจับใจความได้ดีกว่าอีกกลุ่มที่อ่านผ่านทางหน้าจอ

ยังมีผลการศึกษาออกมาเปิดเผยอีกว่า การใช้โทรศัพท์ขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นก็สามารถทำให้ความเพลิดเพลินในการรับประทานลดน้อยลงเช่นกัน Ryan Dwyer นักศึกษาปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยาระบุว่า “เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่คนที่เล่นโทรศัพท์ระหว่างมื้ออาหารนั้น กลับมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเบื่อมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้นำโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น”

อีธาน ครอสส์ นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในเมืองแอนน์อาร์เบอร์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ได้อธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในการละตัวออกจากโทรศัพท์

“แผนอันแยบยลของโซเชี่ยลมีเดียก็คือ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะมีคนมากดไลก์ หรืออีเมลจะเข้าเมื่อไหร่ เราไม่สามารถทราบในเรื่องของพวกนี้ได้เลย นั้นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเช็คโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา เพราะอยากรู้ว่าจะมีคนมากดไลก์เพิ่ม หรือมีการแจ้งเตือนอะไรใหม่หรือเปล่า”

โดยมีสถิติออกมาว่าในปี 2018 จำนวนเฉลี่ยที่ผู้คนปลดล็อกโทรศัพท์มีมากถึง 73 ครั้งต่อวัน เยอะกว่าสองปีก่อนอยู่เกือบ 20 ครั้ง

ทั้งนี้สมาร์ทโฟนก็ยังคงมีประโยชน์อีกหลายข้อด้านที่จะทำให้การใช้ชีวิตของเรามีความสะดวกสบายและง่ายขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพกันนะครับ

***แปลและเรียบเรียงโดย รชตะ ปิวาวัฒนพานิช
โครงการนักศึกษาฝึกงาน กองบรรณาธิการ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย

Cr. https://ngthai.com/science/17503/impactofsmartphones/

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

วางโทรศัพท์คว่ำหน้าหรือหงาย แบบไหนถือว่าถูกต้อง ?

วางโทรศัพท์คว่ำหน้าหรือหงาย แบบไหนถือว่าถูกต้อง ?

การวางโทรศัพท์ที่ถูกต้อง ควรวางโทรศัพท์คว่ำหน้าหรือหงายมากกว่ากัน หากใครสงสัย ที่นี่มีคำตอบ
    เชื่อว่าคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือน่าจะเคยเกิดความสงสัยกันบ้างว่า การวางโทรศัพท์ที่ถูกต้องนั้นควรวางคว่ำหน้าหรือวางหงาย ซึ่งหลายคนก็อาจจะแค่วางแบบที่ตัวเองเคยชิน หรืออาจวางคว่ำบ้างหงายบ้างสลับกันไป แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะวางแบบไหนต่างก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป หากเพื่อน ๆ คนไหนอยากรู้ก็ลองตามไปอ่านกันเลย
 
วางโทรศัพท์คว่ำหน้า มีข้อดียังไงบ้าง ?

วางโทรศัพท์คว่ำ1. โชว์ความสวยงามของตัวเครื่อง

 
          โทรศัพท์มือถือหลาย ๆ รุ่นมักจะมีการดีไซน์ด้านหลังเครื่องให้มีความสวยงาม หลากหลายสีสัน หรือบางคนก็อาจจะใส่เคสสวย ๆ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนเลือกวางโทรศัพท์คว่ำหน้า เพื่อโชว์ความสวยงามของตัวเครื่องและเคสนั่นเอง
 

2. ลดโอกาสหลังเครื่องและกล้องเป็นรอย

 
          หากใครไม่ชอบใส่เคสโทรศัพท์มือถือ หากตัวเครื่องมีการลากถูไปกับโต๊ะหรือพื้นในขณะที่วางหงายไว้ก็อาจทำให้ตัวเครื่องหรือเลนส์กล้องเป็นรอยได้ หรือสำหรับคนที่ใส่เคสสวย ๆ แพง ๆ ก็คงอยากวางคว่ำหน้าเพื่อลดโอกาสที่เคสจะเป็นรอย แถมยังได้โชว์ความสวยงามของเคสไปในตัวอีกด้วย
 

3. ป้องกันการรบกวนสมาธิ

 
          โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีโทรศัพท์มือถือ การแจ้งเตือนใด ๆ หน้าจอจะสว่างขึ้นมาเพื่อให้มองเห็นการแจ้งเตือนนั้น ๆ ซึ่งหากเป็นช่วงเวลาที่ต้องการสมาธิก็อาจดึงความสนใจไปจนทำให้เสียสมาธิได้ การวางเครื่องคว่ำหน้าไว้ก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในกรณีที่ขี้เกียจปรับเป็นโหมด Do Not Disturb
 

4. ป้องกันคนอื่นแอบดูหน้าจอ

 
          ใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวหรือเป็นคนมีความลับเยอะคงไม่อยากให้คนอื่นแอบมองเมื่อมีการแจ้งเดือนใด ๆ แสดงขึ้นมาบนหน้าจอขณะวางเครื่องไว้บนโต๊ะ จึงเลือกที่จะวางโทรศัพท์คว่ำหน้าไว้ปลอดภัยกว่า
 

วางโทรศัพท์หงาย มีข้อดียังไงบ้าง ?

 

วางโทรศัพท์หงาย


1. ดูแจ้งเตือนบนหน้าจอได้สะดวก

 
          เมื่อมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้นมาบนหน้าจอ การวางโทรศัพท์หงายไว้ก็จะทำให้สามารถมองเห็นการแจ้งเตือนได้ทันทีว่าเป็นการแจ้งเตือนอะไร จากแอปฯ ไหน ซึ่งถ้าหากวางคว่ำหน้าไว้ก็จะมองไม่เห็นแจ้งเตือน และอาจไม่รู้ตัวเลยนอกจากจะตั้งค่าให้สั่นหรือมีเสียง
 

2. ใช้งานได้ในขณะที่วางอยู่

 
          โทรศัพท์ที่วางคว่ำอยู่เมื่อต้องการจะใช้งานก็คงจำเป็นต้องหยิบหงายขึ้นมาทุกครั้ง แต่การวางโทรศัพท์หงายนั้นเราจะสามารถปลดล็อกหน้าจอและใช้งานได้ในขณะที่ตัวเครื่องยังคงวางอยู่บนโต๊ะหรือพื้น โดยไม่จำเป็นต้องหยิบเครื่องขึ้นมาเลย
 

3. ลดโอกาสหน้าจอเป็นรอย

 
          หากใครไม่ได้ใส่เคสที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้หน้าจอสัมผัสกับพื้นผิวโต๊ะ การวางโทรศัพท์คว่ำก็มีโอกาสที่จะทำให้หน้าจอหรือฟิล์มเกิดเป็นรอยขีดข่วนจากการลากถูไปกับพื้นโต๊ะได้ แต่ถ้าหากวางเครื่องหงายไว้ก็จะไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้
 
          สุดท้ายแล้วสำหรับการวางโทรศัพท์ที่ถูกต้องนั้นจะสามารถวางแบบไหนก็ได้ ไม่มีถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละคน รวมถึงความเหมาะสมในแต่ละโอกาสและสถานการณ์ด้วยครับ

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

mbti-คออะไร-ทำไมตองทดสอบ

MBTI คืออะไร? ทำไมต้องทดสอบ ...ทางลัดรู้จักตัวตนกันและกันในยุคดิจิทัล

อยากรู้จักกันไม่ต้องขอเบอร์ เดี๋ยวส่งผล MBTI ให้เธอดูก็พอ ฮิ้วว~ เชื่อไหม…วัยรุ่นในประเทศเกาหลีใต้ ใช้ผลทดสอบ MBTI ในการเลือกคนที่จะเดตด้วยนะ!

ฟังแล้วไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะครับ แต่ที่ผล MBTI ได้รับความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่น นั่นก็เพราะว่าการแชร์ MBTI ของกันและกัน จะทำให้พวกเขาได้ค้นหาคนที่ใช่ เหมาะสมในเวลารวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้กันมากมายนั่นเองล่ะครับ

นอกจากเรื่องราวของความรักแล้ว “MBTI” ยังถือเป็นสิ่งหนึ่งที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในหลากหลายประเทศ ให้ความสำคัญมาก ๆ เพื่อคัดเลือกผู้สมัครงานนั่นเองล่ะครับ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลาย ๆ คนคงกำลังสงสัยว่า ทำไมเจ้า “MBTI” ถึงได้สำคัญกับชีวิตในปัจจุบันของเราขนาดนี้
…ไม่รอช้าตามผมมาค้นหาคำตอบด้วยกันเลยครับ

MBTI คืออะไรกันแน่? เป็นแค่บททดสอบบทหนึ่งหรือเปล่า

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยลองเทสต์แบบทดสอบนี้กันมาบ้างแล้วแน่นอน แต่จริง ๆ แล้ว MBTI มันคืออะไรกันแน่นะ?

“MBTI หรือ Myers-Briggs Type Indicator” เป็นแบบทดสอบประเภทบุคลิกภาพ ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาที่สามารถประเมินได้ด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจตัวเองและผู้อื่นนั่นเองครับ โดยบุคลิกโดยทั่วไปของเราจะมีทั้งหมด 16 ประเภท เช่น INFJ, ENFP, ISTP, ESTJ เป็นต้น และสามารถแบ่งย่อยเป็น 4 ตัวชี้วัด ได้แก่

1. ความถนัดด้านการได้รับพลังงาน หรือบุคลิกภาพ : Extroverts (E) หรือ Introverts (I)
2. ความถนัดด้านการรับรู้สิ่งต่าง ๆ : Sensors (S) หรือ Intuitives (N)
3. ความถนัดด้านการตัดสินใจ : Thinkers (T) หรือ Feelers (F)
4. ความถนัดด้านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต : Judgers (J) หรือ Perceivers (P)

เมื่อเราทำแบบทดสอบเสร็จแล้ว เราก็จะได้ตัวอักษรมาทั้งหมด 4 ตัว ซึ่งกำหนดเป็นตัวละคร นิสัย จุดเด่น และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งหมด 16 ตัวละคร ซึ่งแต่ละคาแรกเตอร์ถือเป็นตัวแทนบุคลิกภาพของเรานั่นเองล่ะครับ

โดยเราสามารถเข้าไปทำแบบทดสอบฟรีได้ที่ https://www.16personalities.com/th ได้เลยครับผม

แล้วตัวอักษร INTJ, ENTP, ENFJ, ISTP และอื่น ๆ อีกมากมายเหล่านี้ สำคัญยังไงในปัจจุบันกันนะ? ตามมาหาคำตอบกันต่อข้างล่างน้ได้เลยครับ

MBTI สำคัญยังไง? ทำไมถึงควรทดสอบ

ความน่าสนใจของแบบทดสอบ MBTI ก็คือชุดทดสอบที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ละเอียดมากขึ้นนี่แหละครับ หลาย ๆ คนที่ยังไม่เคยทำเทสต์ อาจคิดว่าเป็นการทดสอบแค่ผิวเผิน แต่ความจริงแล้วคำถามในแต่ละข้อล้วนอิงจากเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่เกือบปัจจุบัน และลักษณะนิสัยโดยทั่วไปที่ทุกคนต้องเผชิญกับภาวะเหล่านั้น แต่ข้อสำคัญของการทำแบบทดสอบคือ “เราควรตอบอย่างตรงไปตรงมา และไม่พยายามตอบแบบกลาง ๆ นะครับ” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุดนั่นเอง

ซึ่งเมื่อทำแบบทดสอบเสร็จแล้ว ก็จะทำให้เราเข้าใจบุคลิกของตัวเองมากขึ้น เข้าใจความถนัด ความสามารถ และจุดเด่นของตัวเอง ที่อาจนำไปใช้ต่อยอดพัฒนา พร้อมค้นหาอาชีพที่เหมาะสมในอนาคตได้นั่นเองล่ะครับ

…แล้ว MBTI สำคัญต่อการทำงานยังไงบ้าง?

เนื่องจาก MBTI ถือเป็นแบบทดสอบกลางที่เหมือนกันทั่วโลก และแน่นอนว่าในทุก ๆ องค์กรย่อมมีพนักงานหลากหลายบุคลิก หลากหลาย Working Style ที่ต้องมาทำงานร่วมกัน ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด บททดสอบ MBTI จึงเป็นตัวช่วยให้หัวหน้างานสามารถแบ่งหน้าที่ และมอบหมายงานได้ตรงความถนัดของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้นนั่นเองล่ะครับ

รวมทั้งยังดีต่อการนำไปต่อยอดพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาภาวะผู้นำ การจัดการความสัมพันธ์ในองค์กร การรักษาพนักงาน การให้คำแนะนำด้าน Career Path และการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพอีกด้วยครับ

นอกจากการทำงานในองค์กรแล้ว ในวงการไอดอลหรือศิลปินยังใช้ MBTI ในการวางกลยุทธ์โปรโมท เพื่อดึงจุดเด่นของศิลปินให้แฟนคลับได้รู้จักตัวตนของศิลปินในมุมที่ดีที่สุด และถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้พวกเขาได้เช่นกันครับ เช่นเดียวกับหลาย ๆ แบรนด์ที่ให้บริการอย่างสายการบินหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้ ที่นำจุดแข็งของบุคลิกภาพของพนักงาน มาเพื่อรับรอง Service & Experience ที่ลูกค้าจะได้รับจากการบริการของแบรนด์นั่นเองล่ะครับ

เห็นไหมล่ะครับ ถึงแม้ว่า MBTI จะมีอิทธิพลในยุคดิจิทัลมากจริง ๆ และที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เราได้พัฒนาตัวเองได้ตรงจุดมากขึ้นอีกด้วย แต่ถึงยังไงก็ตาม บุคลิกเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่เราเจอ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ เราจึงควรทำแบบทดสอบกันบ่อย ๆ ทุก 2 – 3 ปีก็ได้นะครับผม อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองในทุกช่วงเวลาของชีวิตนั่นเองล่ะครับ 🙂

Cr. https://www.ais.th/consumers/lifestyle/blog/digital-update/what-is-mbti-test

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

เปิด Airplane Mode ช่วยเซฟการบินยังไงบ้าง

เปิด Airplane Mode บนเครื่องบิน ปลอดภัยกว่าจริงหรือ?

“กรุณาปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขณะเครื่องบินขึ้นและลงจอด”
หลังจากจบเสียงประกาศนี้ เพื่อน ๆ เลือกทำอะไร ระหว่าง ‘ปิดโทรศัพท์มือถือ – เปิดโหมดการบิน’ ครับ

หลายคนคงรู้อยู่แล้ว ว่าสาเหตุที่เราต้องปิดโทรศัพท์มือถือก็เพื่อไม่ให้สัญญาณของอุปกรณ์รบกวนระบบสื่อสาร และระบบอื่น ๆ ต่อการทำงานของเครื่องบินนั่นเอง แต่ขณะเดียวกันบางสายการบินก็อนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถเปิด Airplane Mode หรือโหมดเครื่องบินแทนการปิดเครื่องได้แล้วนะ

ว่าแต่…การเปิด Airplane Mode ช่วยลดการรบกวนสัญญาณได้เทียบเท่ากับการปิดโทรศัพท์มือถือจริงหรือเปล่า? ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ ก็คงสงสัยแบบผมเช่นกันใช่ไหมล่ะ วันนี้ผมเลยขอพาทุกคนมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำงานของ ‘Airplane Mode’ กันสักหน่อยครับ

…ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบิน?
…เปิดโหมดนี้จะเวิร์กจริงไหม?
ไม่รอช้า…รีบมาเช็กอิน แล้วบินไปหาคำตอบด้วยกันเลยครับผม~

ทำไมต้องเปิด Airplane Mode เมื่อขึ้นเครื่องบิน?

‘โหมดการบิน’ นั้นถูกออกแบบมาเพื่อปิดการส่งสัญญาณวิทยุออกไปเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณที่อาจรบกวนการทำงานของการบิน โดยมีหลักการคือ ‘ปิดการเชื่อมต่อไร้สาย’ ภายในอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น

✖️ สัญญาณเซลลูลาร์ (Cellular)
✖️ สัญญาณ Wi-Fi
✖️ บริการตำแหน่งที่ตั้ง Location Services

ซึ่งจะเหลือเพียงสัญญาณเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ไม่ได้ถูกปิดลง เราจึงสามารถเชื่อมต่อบลูทูธกับหูฟังไร้สายหรืออุปกรณ์บลูทูธอื่น ๆ ระหว่างไฟลต์ได้นั่นเองครับ แต่อย่างไรก็ตามผมอยากแนะนำว่าหากเพื่อน ๆ ต้องการฟังเพลงระหว่างไฟลต์ ควรเชื่อมต่อบลูทูธหลังช่วงเวลาเครื่องขึ้น (Take Off) และปิดบลูทูธก่อนเครื่องลงจอดจะดีกว่านะครับ

*ในขณะที่การปิดเครื่องหรือปิดมือถือจะเป็นการปิดทุกการเชื่อมต่อไร้สายโดยทันที

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เพื่อน ๆ ที่เดินทางกับสายการบินต่างประเทศบ่อย ๆ คงเริ่มแปลกใจว่า
… ‘แล้วทำไมบางสายการบินในยุโรป ถึงไม่บังคับกฎนี้กันแล้ว สรุปแบบไหนปลอดภัยกว่ากัน?’

ผมต้องบอกก่อนเลยครับว่า สาเหตุที่บางสายการบินอนุญาตให้ใช้มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องบินได้ เพราะสายการบินนั้นอาจมีการติดตั้งเทคโนโลยีแยกความถี่สัญญาณ ที่ช่วยป้องกันการรบกวนสัญญาณจากอุปกรณ์ส่วนบุคคลออกจากสัญญาณการบินนั่นเองครับ

แต่ ‘กฎ’ ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับบางสายการบินเท่านั้นนะครับ ดังนั้น เราควรทำตามข้อบังคับที่พนักงานหรือเหล่าลูกเรือแนะนำจะดีที่สุด เพราะหากเราเผลอ ‘เปิดโทรศัพท์’ ขณะเดินทางกับสายการบินที่มี ‘กฎบังคับงดใช้โทรศัพท์ระหว่างไฟลต์’ ก็อาจจะผิดกฎหมาย งานเข้าก่อนถึงที่หมายได้เลยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน~

เปิด Airplane Mode แล้วดียังไง?

นอกจากเป็นการไม่รบกวนสัญญาณการสื่อสารของระบบการบินแล้ว การเปิด Airplane Mode หรือโหมดการบินยังมีข้อดีอื่น ๆ ตามมาอีกด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น

✔️ ประหยัดแบตเตอรี่ เนื่องจากโทรศัพท์ถูกปิดการใช้งานการเชื่อมต่อไร้สายต่าง ๆ
✔️ ไม่รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น
✔️ มีสมาธิในการรับฟังคำแนะนำ และคำสั่งต่าง ๆ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน จากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
✔️ ช่วยเป็นหูเป็นตาด้านความปลอดภัยได้ หากเกิดความผิดปกติใด ๆ ทั้งนอกและในเครื่องบิน

นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะเวลาเราต้องเดินทางไกล ๆ การปล่อยตัวเองออกจากสมาร์ทโฟนสักพัก ก็ถือเป็นช่วงที่ให้เราได้มีเวลาพักผ่อนระหว่างไฟลต์ได้เต็มที่ ก่อนจะไปลุยต่อเมื่อถึงจุดหมายนั่นเองล่ะครับ

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่าเพื่อน ๆ คงได้คำตอบเกี่ยวกับ Airplane Mode กันแล้วใช่ไหมครับ ไม่แน่นะในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะสามารถไถฟีด Social Media อัปสเตตัสเก๋ ๆ แบบข้ามทวีปจนกลายเป็นเรื่องปกติก็ได้ แล้วอย่าลืมปฏิบัติตามกฎของสายการบินที่คุณเดินทางอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวเราเองและผู้ร่วมทางของเรานะครับผม 🙂

Cr. https://www.ais.th/consumers/lifestyle/blog/digital-update/flight-mode

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

เลือกฟิล์มกันรอยแบบไหน ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

เลือกฟิล์มกันรอยแบบไหน ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

เลือกฟิล์มกันรอยแบบไหน ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
 

ตั้งแต่ที่สมาร์ทโฟนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้มือถือแบบทัชสกรีนกลายเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวันกันซะแล้ว แถมยังทำให้ “ฟิล์มกันรอย” กลายเป็นไอเทมเสริมสุดฮิต เพราะแน่นอนว่าหลายคนอาจจะกลัวรอยขีดข่วน จอแตก จากการทำโทรศัพท์ตก หรือกระแทก การติดฟิล์มกันรอยช่วยให้เรารู้สึกอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ มีให้เลือกหลายรูปแบบมาก ๆ วันนี้ผมเลยจะชวนทุกคนมาเลือกฟิล์มกันรอยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองเพิ่มขึ้น ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย!

ฟิล์มกันรอยแบบใส สามารถป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอได้ด้วยการเคลือบฟิล์มแข็งบาง (Hard Coating) เนื้อฟิล์มติดง่าย ป้องกันการเกิดรอยบนแผ่นฟิล์มด้วยครับ ถือเป็นฟิล์มกันรอยขั้นเบสิกที่หลายคนนิยมใช้ เพราะเมื่อติดแล้วหน้าจอยังคมชัด สีสันสดใสเหมือนปกติ โดยตัวแผ่นฟิล์มจะมีความใสและบางเป็นพิเศษ นอกจากนี้แผ่นฟิล์มกันรอยยังช่วยกรอง UV ที่มาจากหน้าจออีกด้วย จึงช่วยถนอมสายตาได้ในระดับหนึ่ง

และด้วยความคมชัดของหน้าจอและสีสันนี่แหละครับ ที่ผมว่าน่าจะตอบโจทย์สายซีรีส์ หรือเกมเมอร์ ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ เพราะไม่ทำให้เสียอรรถรสอย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องระวังการเกิดรอยนิ้วมือ คราบมัน คราบเหงื่อ ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่าย จนทำให้เราต้องเช็ดหน้าจอบ่อย ๆ กันด้วยนะครับ

ฟิล์มกันรอยแบบด้าน เป็นฟิล์มกันรอยที่เมื่อแปะแล้วอาจจะไม่คมชัดเท่าฟิล์มแบบใส แต่ยังสามารถมองเห็นและใช้งานได้ตามปกติ โดยข้อดีคือยังช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ และคราบมันบนเนื้อฟิล์มได้พอสมควร อีกทั้งยังลดแสงสะท้อนบนหน้าจอได้ดีใช้งานกลางแจ้งได้สะดวกมาก ซึ่งฟิล์มกันรอยแบบด้านมาพร้อมคุณสมบัติกันรอยขีดข่วนสูง และยังช่วยถนอมสายตา ทั้งนี้หากเราเลือกซื้อฟิล์มที่คุณภาพไม่ดี ก็อาจจะทำให้การแสดงผลบนหน้าจอมีสีที่ผิดเพี้ยนได้เช่นกัน

โดยฟิล์มด้านตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้หลากหลายเลยครับ เช่น คนรักความสะอาด ไม่ชอบให้มีคราบมัน หรือคราบอื่น ๆ ที่มักจะติดอยู่บนฟิล์ม เหมือนเวลาใช้แบบใส หรือใครที่ต้องทำงาน ใช้สมาร์ทโฟนเกือบตลอดเวลา การใช้ฟิล์มด้าน ก็ช่วยลดแสงสะท้อนบนหน้าจอ และถนอมสายตาของคุณได้มากขึ้นด้วยนะครับ

ฟิล์มกันรอยแบบกระจก ความจริงแล้วฟิล์มกระจกสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายแบบ ดังนี้

  • ฟิล์มกระจก
    ผลิตจากเนื้อฟิล์มชนิดหนึ่งที่มีสารเคลือบพิเศษ ทำให้สามารถเห็นเงาบนแผ่นฟิล์ม โดยเมื่อหน้าจออยู่ในโหมด Stand by จะเห็นหน้าจอเหมือนกระจกเงาสะท้อนได้ เหมือนกระจกที่เราเอาไว้ส่องทั่ว ๆ ไปเลยครับ แต่เมื่อเราใช้งานหน้าจอ ก็จะสามารถมองเห็นหน้าจอและใช้งานได้ตามปกติ
  • ฟิล์มกระจกนิรภัย
    พูดถึงสิ่งนี้จะว่าเป็นฟิล์มก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะครับ เพราะมันคือกระจกนิรภัยสำหรับปกป้องหน้าจอ โดยจุดเด่นหลัก ๆ คือ ความแข็งแรงทนทานกว่าแบบฟิล์ม ช่วยลดการแตกร้าวของหน้าจอหากทำตกพื้น อีกทั้งยังป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี ลดรอยนิ้วมือ หรือคราบมันต่าง ๆ ได้ ซึ่งถึงแม้พื้นผิวจะค่อนข้างหนากว่าฟิล์มก็ไม่เป็นปัญหาเลยครับ เพราะเรายังสามารถสัมผัสหน้าจอและใช้งานได้ตามปกติแน่นอน

สำหรับใครที่รักษาของและขอปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อสมาร์ทโฟนสุดที่รักนั้น การเลือกใช้เป็นฟิล์มกระจกก็ถือว่าแข็งแรง และช่วยป้องกันการกระแทกได้ไม่น้อย ซึ่งใครที่เป็นสายเที่ยว หรือสายลุย ที่อาจเสี่ยงทำมือถือตกกระแทก การติดฟิล์มกระจกก็ช่วยเซฟได้ดีเลยทีเดียว

ฟิล์มน้ำ หรือฟิล์มไฮโดรเจล (Hydrogel Film) คือ ฟิล์มกันรอยรูปแบบใหม่ ที่จุดเด่นคือบางเฉียบจนเหมือนกับไม่ได้ติด ทำให้เราสัมผัสความคมชัด และสีสันของหน้าจอได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมาพร้อมกับความแข็งแรง ทนทาน ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับฟิล์มกระจกด้วยนะครับ โดยตัวฟิล์มน้ำสามารถรับแรงกระแทกได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในท้องตลาดที่มีขายในปัจจุบันมีทั้งแบบใสและแบบด้าน ให้เลือกใช้งานอีกด้วย

จริง ๆ ต้องบอกเลยว่าฟิล์มน้ำ อาจจะเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว แต่ด้วยความบางของฟิล์มชนิดนี้ เราสามารถมั่นใจได้เลยว่าไม่มีปัญหาฟิล์มขอบลอย หรือ ฟิล์มดันเคสโทรศัพท์ เลยครับ ใครที่กังวลเรื่องการใช้งานตรงนี้ก็สบายใจได้เลย

ฟิล์มกันรอยแบบป้องกันความเป็นส่วนตัว ปกติแล้วฟิล์มทุกชนิดจะสามารถมองเห็นหน้าจอได้จากทุกมุมตามปกติใช่ไหมครับ แต่สำหรับฟิล์มกันรอยชนิดนี้ จะสามารถมองเห็นหน้าจอสมาร์ทโฟนได้แค่มุมด้านหน้าเท่านั้น หากมองจากมุมข้าง หรือมุมอื่น ๆ จะมองเห็นเป็นแค่จอมืด ๆ นั่นเอง เพื่อป้องกันผู้อื่นแอบดูหน้าจอ

ใครที่หวงความเป็น Privacy ให้ความสำคัญเป็นส่วนตัวมาก ๆ ฟิล์มกันรอยชนิดนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้มากเลยครับ ยิ่งถ้าต้องใช้สมาร์ทโฟนท่ามกลางฝูงชนอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะบนรถสาธารณะ หรือสถานที่ต่าง ๆ ก็ค่อนข้างตอบโจทย์เลยทีเดียว 

เห็นคุณสมบัติของฟิล์มกันรอยชนิดต่าง ๆ รวมถึงข้อแนะนำกันไปแล้ว น่าจะพอเลือกกันได้แล้วนะครับว่าฟิล์มกันรอยแบบไหนที่มีฟังก์ชันเหมาะกับการใช้งานของเรา ยังไงอย่าลืมเลือกใช้ให้ตรงกับความชอบและไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันด้วยนะครับ งานนี้จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนกันบ่อย ๆ แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้สมาร์ทโฟนของคุณได้อีกด้วยนะครับ

Cr. https://www.ais.th/consumers/lifestyle/blog/digital-update/mobile-film

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

โปรเน็ต AIS รายเดือน 470 บาท 4Mbps

pronetdonjai

470 บาท / 30 วัน

แพ็คเกจรายเดือน ความเร็วเน็ต 4 Mbps ราคา 470 บาท

คลิก >> *777*7632*201645#

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com

Categories
Uncategorized

โปรเน็ต AIS รายเดือน 380 บาท 2Mbps

pronetdonjai

380 บาท / 30 วัน

แพ็คเกจรายเดือน ความเร็วเน็ต 2 Mbps ราคา 380 บาท

คลิก >> *777*7631*201645#

สมัครแพ็กเสริม ให้สนุกได้ www.pronetdonjai.com